วันพุธที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2558

โปรแกรมภาษาคอมพิวเตอร์( ภาษา C/C++ )

     
      วิวัฒนาการของภาษามีมาตั้งแต่โบราณ เริ่มตั้ังแต่ รูปภาพ มาเป็น อักษรลิ่ม และพัฒนาเรื่อยมาจนกลายมาเป็นภาษาที่มนุษย์เราใช้อยู่ในปัจจุบัน แตเราไม่ได้มาเล่าถึงประวัติของภาษาของมนุษย์ เราแค่จะดึงคุณเข้าสู่เรื่องราวประวัติของภาษาคอมพิวเตอร์ (ภาษา C/C++) มาดูกันว่ามีที่มาอย่างไร และ วิธีการเขียนภาษา C อย่างคร่าวๆ



Dr. Bjarne Stroustrup


      ภาษา C++ พัฒนาขึ้นโดย Dr. Bjarne Stroustrup  ซึ่งเป็นนักวิจัยอยู่ที่ห้องปฏิบัติการ Bell Labs ประเทศสหรัฐอเมริกาในระหว่างปี พ.ศ. 2525-2528 ภาษา C++ เกิดจากแนวคิดในการเพิ่มประสิทธิ ภาพภาษา C ก่อนปี พ.ศ. 2526 Dr. Bjarne Stroustrup ได้เพิ่มคุณสมบัติให้กับภาษา C ซึ่งเขาเรียกภาษา C ที่ปรับปรุงใหม่ว่า “C with classes” นอกจากนี้เขายังได้รวมเอาแนวคิดเกี่ยวกับ classes ในภาษา Simula กับคุณสมบัติเชิงวัตถุผสมผสานกับจุดแข็งของภาษา C เป็นภาษา C++ ชื่อ C++ ใช้ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2526 

      Dr. Bjarne Stroustrup ได้ศึกษาและวิจัยระดับปริญญาเอกที่ห้องปฏิบัติการ Computing Laboratory ที่มหาวิทยาลัย Cambridge ประเทศอังกฤษ ก่อนที่จะมาร่วมกับห้องปฏิบัติการ Bell Labs ในเวลานี้ห้องปฏิบัติการ Bell Labs ไม่ได้ใช้ชื่อนี้อีกต่อไปแล้ว เพราะส่วนหนึ่งของห้องปฏิบัติการได้เปลี่ยนไปเป็น AT&T Labs และอีกส่วนหนึ่งก็เปลี่ยนไปเป็นห้องปฏิบัติการ Lucent Bell Labs
ก่อนที่จะมีภาษา C++ ภาษา เป็นภาษาคอมพิวเตอ ร์ ที่พัฒนาขึ้นจากห้องปฏิบัติการ Bell Labs ในช่วงปี พ.ศ. 2512-2516 ในช่วงเดียวกันนั้น ระบบปฏิบัติการ UNIX ก็ถูกพัฒนาขึ้นที่ห้องปฏิบัติการ Bell Labs ภาษา เริ่มแรกพัฒนาขึ้นมาเพื่อทำงานกับระบบปฏิบัติการ UNIX บนเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กชื่อ PDP-11 โดยนักวิจัยของห้องปฏิบัติการ Bell Labs ชื่อ Dennis Ritchie ในตอนเริ่มต้น เขาได้ขยายความสามารถของภาษา โดยการเพิ่ม “TYPE” เข้าไปในปี พ.ศ. 2514 และเรียกภาษาที่ปรับปรุงใหม่นี้ว่าภาษา NB (ย่อมาจาก New B) ที่เขาได้แนวคิดอย่างนี้ขึ้นมาเพราะ Dennis Ritchie ได้แรงบันดาลใจมาจากภาษา Algol68 เขาได้ปรับโครงสร้างภาษาและเขียนคอมไพเลอร์ใหม่และตั้งชื่อภาษาใหม่ของเขาว่าภาษา “C” ในปี พ.ศ. 2515 90% ของระบบปฏิบัติการ UNIX เขียนด้วยภาษา C
หลังจากกำเนิดภาษา คนในวงการคอมพิวเตอร์ต่างก็ตื่นตัวและประทับใจในความสามารถของภาษา กันมาก ทำให้เกิดการพัฒนาและปรับปรุงภาษา ออกมาหลายต่อหลายเวอร์ชั่น องค์กร ANSI จึงได้จัดตั้งคณะกรรมการเพื่อกำหนดมาตรฐานภาษา ขึ้นในปี พ.ศ. 2532 เพื่อทำการกำหนดมาตรฐานสำหรับภาษา โดยเฉพาะ จนใช้กันถึงปัจจุบันนี้


      ภาษา C เป็นภาษาที่ portable คือไม่ขึ้นอยู่กับฮาร์ดแวร์หรือระบบปฏิบัติการใดโดยเฉพาะ เป็นภาษาที่ผสมผสานส่วนสำคัญที่จำเป็นจากภาษาระดับสูง (high-level languages) กับฟังก์ชั่นระดับ low-level ของภาษาแอสเซมบลี (assembly language) จนบางครั้งมีคนจัดภาษา C ว่าเป็นภาษาคอมพิวเตอร์ในระดับ middle-level โปรแกรมที่เขียนด้วยภาษา C สามารถปรับการใช้จากคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งไปใช้กับอีกเครื่องหนึ่งได้โดยง่าย
กล่าวโดยสรุป ภาษา เป็นภาษาที่พัฒนาต่อเนื่องมาจากภาษา ซึ่งพัฒนาโดย Ken Thompson เมื่อปี พ. ศ. 2513 เพื่อใช้กับระบบปฏิบัติการใหม่ตอนนั้นคือ UNIX ภาษา ก็ได้รับการพัฒนาต่อมาจากภาษา BCPL ที่ออกแบบพัฒนาโดย Martin Richards ซึ่งเป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัย Cambridge ประเทศอังกฤษ เมื่อตอนไปเป็นนักศึกษาแลกเปลี่ยน (Exchange Student) ที่สถาบันเทคโนโลยีแห่งรัฐแมสซาจูเซท (MIT) ประเทศสหรัฐอเมริกา

คงพอจะมองเห็นใช่ไหมครับว่าสิ่งที่เราได้ใช้กันอย่างสะดวกสบาย และง่ายดายอยู่ในปัจจุบันนี้นั้น มันมีวิวัฒนาการอันยุ่งยากและต้องใช้ความพยายาม ความร่วมมือ และแรงบันดาลใจมากมายเพียงใด นอกจากนี้ยังต้องใช้เงินทุนและเวลาในการวิจัยและการทดลองอย่างมากมาย ด้วยเหตุนี้แหละที่ทำไมผู้ผลิตซอฟท์แวร์ทั้งหลายจึงต้องการให้มีการเคารพลิขสิทธิ์ซอฟท์แวร์ พูดตรงๆคือเขาไม่ต้องการให้มีการคัดลอกซอฟท์แวร์มาใช้นั่นเอง



      ภาษา C++ ถูกออกแบบมาสำหรับการทำงานภายใต้สิ่งแวดล้อมระบบปฏิบัติการ UNIX ด้วยภาษา C++ ผู้เขียนโปรแกรมสามารถเขียนโปรแกรมได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้การเขียนโปรแกรมเพื่อให้สามารถนำกลับมาใช้ได้ใหม่ (reusability) ก็สามารถทำได้ง่ายขึ้น


                                            การเขียนภาษา C เบื้องต้น

ข้อดีของภาษา C

1.ภาษา C ใช้ได้ในไมโครคอมพิวเตอร์ ตั้งแต่ขนาด 8 บิต 16 บิต 32 บิต มินิคอมพิวเตอร์ หรือ คอมพิวเตอร์ระดับเมนเฟรม มีการพัฒนาการใช้งาน เพื่อให้เป็นมาตรฐาน ไม่ขึ้นกับโปรแกรมจัดระบบงาน หรือ อุปกรณ์ทางอิเล็กทรอนิกส์ (ฮาร์ดแวร์)
2.ภาษา C มีหลายรุ่น มีผู้ผลิตต่างบริษัท แต่มีโครงสร้างคล้ายกัน และสามารถใช้ร่วมกันได้
3.ภาษา C มีความอ่อนตัว สามารถเจาะลงระดับลึกให้เข้ากับฮาร์ดแวร์ ทำงานได้รวดเร็ว และที่สำคัญ ภาษา C เป็นคอมไพเลอร์
4.ภาษา C เป็นภาษาที่มีโครงสร้าง


ระดับภาษาของโปรแกรม

ภาษาระดับต่ำ เป็นภาษาที่มีความเร็วในการทำงาน แต่มีความยุ่งยากในการเขียน และ พัฒนาโปรแกรม
ภาษาระดับสูง มีความล่าช้าในการใช้งาน แต่เขียนโปรแกรมง่าย
ภาษา C มีโครงสร้างเป็นภาษาระดับสูง และสามารถทำงานได้เร็วในเวลาใช้งาน 


โครงสร้างภาษา C
#header
main ( )
{
- กำหนดตัวแปร
- กำหนดค่าตัวแปร
- ฟังก์ชัน ในรูปสเตตเมนท์
- การควบคุม
- คอมเมนท์
}
function a( )
{
....( มีส่วนประกอบเช่นเดียวกับ ฟังก์ชั่น main )
}
function b( )
.
.
.

เริ่มต้นใช้ C

1.เขียนโปรแกรมบนอิดิเตอร์ ใด ๆ หรือ อิดิเตอร์ของภาษา C แล้วบันทึกข้อมูลให้มีนามสกุลเป็น .C
2.การคอมไพล์ จะได้ ข้อมูลนามสกุล OBJ ออปเจ็ค
3.การติดต่อกับไลบรารี จะได้ขัอมูลนามสกุล EXE เรียกว่า การเอ็กซีคิวต์

การเขียนโปรแกรมภาษา C แต่ละครั้ง จะใช้วิธีการ รัน (RUN) เพียงครั้งเดียว ก็จะได้ ข้อมูลนามสกุล OBJ และ EXE 

การ RUN โปรแกรมภาษา C

1.RUN ใน Memory คือ การ RUN ในสภาวะแวดล้อมของ C คอมไพเลอร์ ใช้ในการพัฒนาโปรแกรม
2.RUN นอก Memory คือ การเรียกใช้ ข้อมูลนามสกุล EXE ที่ผ่านการเอ็กซีคิวต์ นอก C คอมไพเลอร์ เช่น DOS Windows หรือ บนระบบปฏิบัติการอื่น ๆ 


ตัวอย่างการเขียนโปรแกรม

#include <stdio.h>                                                   (1)
main ( )                                                                    (2)
{
int A;                                                                        (3)
A = 20;                                                                    (4)
printf ("Turbo C \n");                                                (5)
printf ("Easy Program"); /* function printf */             (6)
}

1. header เป็นการบอกให้ C คอมไพเลอร์ นำไฟล์อินพุท เอาทํพุท มาตรฐานมารวมกับไฟล์
2. การผ่านค่า อาร์คิวเมนท์
3. กำหนดตัวแปร
4. กำหนดค่าตัวแปร
5. ฟังก์ชันภายใน
6. คอมเมนท์ หรือ คำอธิบาย

บล็อก { }

คือ การกำหนด บล็อก ของ ฟังก์ชัน ถ้าโปรแกรมมีขนาดมากน้อยเพียงใดก็ได้ สามารถกำหนดบล็อกซ้อนกันได้ และ บล็อกเปิด ต้องเท่ากับ บล็อก ปิด
{......{......{......}......}....}


การกำหนดตัวอักษรในการพิมพ์

ใช้ตัวอักษรพิมพ์เล็กในการเขียนโปรแกรม ได้แก่ คำสั่ง หรือ ฟังก์ชันต่าง ๆ
ตัวอักษร พิมพ์เล็ก และ พิมพ์ใหญ่ ให้ความหมายต่างกัน ใช้ในการกำหนดตัวแปร และชุดข้อความ (สตริง)











Credit

https://jassadaphon123.wordpress.com/2012/09/10/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B8%8B%E0%B8%B5/

http://my.dek-d.com/pgnexio/blog/?blog_id=10184515

http://www.scimath.org/computerarticle/item/367-ioi

http://members.tripod.com/meteor_hun/page-a.htm

วันอังคารที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2558

Social Network กับนักเรียนและสังคมไทย

ณ ห้องเรียนคอมพิวเตอร์ ของนักเรียนชั้น ม.7/6

"นักเรียน ทำความเคารพ"
"สวัสดีครับ/ค่ะ อาจารย์"
"สวัสดีครับ นักเรียนที่น่ารักทุกคน" "วันนี้ครูมีกิจกรรมมาให้ทำกัน ห้องนี้มีนักเรียนกี่คนนะ?"
"34 คน ค่ะ"
"งั้นแบ่งกลุ่มกัน 3 กลุ่มนะ กลุ่มละ 11-12 คน" "ให้นักเรียนกลุ่มที่ 1 หาข้อมูลเรื่อง "Social Network คืออะไร?""
"กลุ่มที่ 2 หาข้อมูลเรื่อง"Social Network กับนักเรียน""
"กลุ่มสุดท้ายกลุ่มที่ 3 หาข้อมูลเรื่อง"Social Network กับสังคมไทย""
"เมื่อหาข้อมูลได้แล้ว ให้พูดคุยกันในกลุ่ม แล้วสรุปข้อมูลออกมาให้ความรู้กับเพื่อนกลุ่มที่เหลือหน้าห้องนะครับ" "ให้เวลาหาข้อมูล 30 นาทีนะครับ เชิญเลยครับ"


..............................30 minute later...............................


"ครับ กลุ่มแรกออกมาเลยครับ ส่งตัวแทนมาพูดก็ได้ครับ"
"ครับ กลุ่มผมได้หาข้อมูลเรื่อง Social Network คืออะไร? ครับ"

Social Network ก็คือเครือข่ายสังคมแบบออนไลน์ ที่เราสามารถติดต่อเชื่อมโยงเพื่อนของเราและเพื่อนของเพื่อนของเราได้นับพันๆคน ผ่านผู้ให้บริการทางโซเชียลบนอินเทอร์เน็ต เช่น Hi5, Tagged, Facebook, Twitter และ Blogger เป็นต้น การเชื่่อมโยงนี้ทำให้เกิดเครือข่ายขึ้น เช่น เราสามารถรู้จักเพื่อนของเพื่อนเราได้ เป็นทอดๆต่อไปเรื่อยๆ ทำให้เกิดสังคมเสมือนจริงขึ้นมา เมื่อเราเขียนข้อความหรือโพสต์ข้อความต่างๆลงไป เพื่อนๆของเราก็จะสามารถเห็นข้อความนั้นได้ และสามารถมีส่วนร่วมกับสิ่งที่เราแชร์ได้ เช่น แสดงความคิดเห็น(comment) กดไลค์(Like) ซึ่งจะแตกต่างกันออกไปตามผู้ให้บริการ 



โซเชียลเน็ตเวิร์ค (Social Network) ตามรูปแบบ แบ่งได้เป็น

1. Blog หรือ บล็อก คือเว็บไซต์รูปแบบหนึ่ง มาจากคำว่า Weblog (Website + Log) ซึ่งคำว่า Log ในที่นี้หมายถึง ปูมดังนั้น Blog จึงมีลักษณะเป็นเว็บไซต์ที่จัดเก็บข้อมูลด้วยวิธีเดียวกับปูม  มีการเรียงลำดับตามวันที่บันทึก  ข้อมูลใหม่ที่ Post จะอยู่บนสุด  ส่วนข้อมูลเก่าจะอยู่ล่างสุด  โดยบล็อกสมัยนี้ไม่ได้อยู่ลำพังเดี่ยวๆ แต่มีลักษณะเป็น Community ที่รวบรวม Blog หลายๆ Blog เข้าไว้ด้วยกัน  สามารถเชื่อมโยงผู้เขียน (Blogger) ได้เป็นสังคมขนาดใหญ่  ในขณะเดียวกันก็เชื่อมโยงผู้อ่านไว้กับผู้เขียนได้  โดยสามารถ comment บทความ  ติดตาม  หรือกดโหวตได้ เช่น Blogger เป็นต้น

2. ไมโครบล็อก (Microblog) เป็นเว็บไซต์ขนาดเล็ก ใช้สำหรับส่งข้อความสั้นๆ ไม่กี่ประโยค เพื่อบอกถึงสถานการณ์ และความเป็นไป ไมโครบล็อกที่มีผู้นิยมใช้บริการ เช่น Twitter


3. โซเชียลเน็ตเวิร์คเว็บไซต์ (Social Network Website) คือเว็บไซต์ที่สร้างขึ้นมาเพื่อเป็นสังคมออนไลน์โดยเฉพาะ เช่น Facebook, Linkedin, Myspace, Hi5 เป็นต้น เว็บพวกนี้มีจุดเด่นที่การแชร์คอนเท้นต์ ทั้งข้อความ รูปภาพ และวีดีโอ บางเว็บรวมไปถึงบทความ เพลง และลิ้งค์  นอกจากนั้นยังมีฟังก์ชั่นในการแสดงความรู้สึก หรือมีส่วนร่วม เช่น การกดไลค์ (Like) การโหวต การอภิปราย (Discuss) และการแสดงความคิดเห็น เป็นต้น

4. เว็บโซเชียลบุ๊คมาร์ค (Bookmark Social Site) เป็นเว็บที่ให้เราเก็บหน้าเว็บ หรือเว็บไซต์ที่เราชื่นชอบ เพื่อเอาไว้เข้าชมทีหลัง แต่พอมาเป็นโซเชียลไซต์ เราจะสามารถแชร์ URL ของหน้าเว็บเหล่านั้น รวมถึงดูว่าคนอื่นเก็บหน้าเว็บอะไรไว้บ้าง เข้าชม และแสดงความคิดเห็นต่อหน้าเว็บต่างๆ ได้

โซเชียลเน็ตเวิร์ค (Social Network) ตามวัตถุประสงค์ในการใช้งาน แบ่งได้เป็น

1. เผยแพร่ตัวตน (Identity Network) เป็นเว็บไซต์โซเชียลที่มุ่งเน้นการนำเสนอตัวตนของผู้ใช้งาน เรื่องราวของตัวเอง ภาพถ่ายของตัวเอง สิ่งที่ตัวเองชอบ หรือว่าสนใจ ความคิดเห็น ความรู้สึกที่มีต่อสิ่งต่างๆ เว็บที่มีลักษณะดังกล่าว ได้แก่ Facebook, Myspace เป็นต้น

2. เผยแพร่ผลงาน (Creative Network) เป็นเว็บไซต์ที่เน้นไปที่ผลงานของเจ้าของเว็บ มากกว่าตัวตนของเจ้าของผลงาน  ส่วนมากเว็บโซเชียลเน็ตเวิร์คประเภทนี้  มักรวมผู้ที่ทำงานประเภทเดียวกันไว้ด้วยกัน  เช่น  เว็บรวมนักเขียนนิยาย  เว็บรวมคนรักการถ่ายภาพ  เว็บรวมนักออกแบบกราฟิก ฯลฯ  ซึ่งการสร้างเครือข่ายลักษณะนี้มักใช้ในการหาลูกค้า หรือเพื่อนร่วมอาชีพเป็นสำคัญ เช่น Coroflot, flickr, Multiply, DevianART เป็นต้น

3. ความสนใจตรงกัน (Interested Network)  เว็บไซต์ประเภทนี้คล้ายๆ กับเว็บเผยแพร่ผลงาน  คือ รวบรวมผู้ที่สนใจในเรื่องเดียวกันมาไว้ด้วยกัน แต่ต่างกันที่ Interested Network เจ้าของเว็บไม่ต้องเป็นเจ้าของผลงาน แค่แชร์ลิ้งค์ หรือเว็บที่ตัวเองสนใจ เช่น Pinterest, del.licio.us, Digg, Zickr เป็นต้น

4. โลกเสมือน (Virtual life / Game online) เป็นลักษณะการจำลองตัวของผู้ใช้งานเป็นตัวละครตัวหนึ่งในเกม หรือสถานการณ์สมมุติ โดยมีเรื่องราว หรือภาระกิจให้ปฏิบัติ โดยอาจจะปฏิบัติโดยลำพังแข่งกับผู้เล่นคนอื่น หรือร่วมกันเป็นทีมก็ได้  โดยในระหว่างเล่นสามารถพูดคุย หรือสื่อสารกับผู้เล่นอื่นๆ ได้ ทำให้มีลักษณะเป็น Social Network แบบหนึ่ง  เช่น Second Life, The SIM เป็นต้น 


"ครับ ดีมากครับกลุ่มแรก กลุ่มต่อไป กลุ่มที่ 2 ครับ"
"ค่ะ กลุ่มเราได้หัวข้อ Social Network กับนักเรียนค่ะ"

Social Network นั้นมีทั้งประโยชน์และโทษ ขึ้นอยู่กับผู้ใช้ ซึ่งนักเรียนอย่างพวกเรานั้นสามารถใช้ประโยชน์จาก Social Network ได้หลายทาง จะขอยกตัวอย่างการใช้ Social Network ของเรานะคะ
เราใช้ Social Network ในการติดต่อสื่อสารกับเพื่อนๆทั้งในห้องเรียนนี้ เพื่อนต่างห้อง เพื่อนต่างโรงเรียน จนไปถึงบุคคลทั่วไปค่ะ เรื่องที่ติดต่อกันก็จะมี พูดคุยกันเล่นๆเรื่อยเปื่อย ถามงาน ถามการบ้าน ประมาณนี้ค่ะ และยังใช้ติดตามข้อมูลข่าวสารต่างๆที่เพื่อนๆโพสต์ไว้ด้วยค่ะ ซึ่งอาจจะแตกต่างจากเพื่อนๆบางคนนะคะ เพื่อนๆอาจใช้ติดต่อกับบุคคลที่มีความชอบเหมือนๆกันเพื่อที่จะได้แลกเปลี่ยนข้อมูลซึ่งกันและกันได้สะดวก หรืออาจใช้เผยแพร่ผลงานต่างๆที่เพื่อนๆเป็นคนทำก็ได้ เช่น นิยาย ค่ะ
ยังไงก็ตาม Social Network นั้นก็ยังมีโทษอยู่ถ้าเราใช้มันในทางที่ผิด หรือในทางที่ไม่ดี เพราะฉนั้น กลุ่มของเราเลยอยากให้เพื่อนๆใช้ Social Network ในทางที่ถูกต้องนะคะ 



"โอเคครับ กลุ่มสุดท้ายครับ"
"ค่ะ กลุ่มของเราได้เรื่อง Social Network กับสังคมไทย ค่ะ"

พฤติกรรมการใช้งานโซเชียลเน็ตเวิร์ค (Social Network) ของคนไทย

พฤติกรรมของผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ต ปรับเปลี่ยนจากการรับข่าวสารจาก Portral Site มาเป็นโซเชียลเน็ตเวิร์ค (Social Network) เว็บไซต์ เริ่มเด่นชัดตั้งแต่ช่วงปี 2007 หรือ พ.ศ. 2550 เป็นต้นมา และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มีผลการศึกษาพบว่าประมาณ 1 ใน 3 ของผู้ใช้งานโซเชียลเน็ตเวิร์ค (Social Network) ใช้เพื่ออัพเดตข้อมูลข่าวสาร และอีก 1 ใน 3 เพื่อคุยกับเพื่อนและคนรู้จัก นั่นสะท้อนให้เห็นเป็นอย่างดีว่าผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ต ติดตามข่าวสารจากโซเชียลเน็ตเวิร์ค (Social Network) มากขึ้น


สังคมไทยเราในปัจจุบัน มีแนวโน้มที่จะมีสายสัมพันธ์ต่อกันตามธรรมชาติลดน้อยลง จะเห็นได้จาก พูดคุยกันต่อหน้าน้อยลง, ครอบครัวไม่ค่อยได้ทานข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากัน, คนบ้านใกล้เรือนเคียงพูดจากันน้อยลงและอาจไม่รู้จักกัน, ญาติสนิทมิตรสหายไปมาหาสู่กันน้อยลง, เพื่อนฝูงที่มีก็เป็นเพื่อนที่ทำงาน หรือเพื่อนร่วมงานเสียส่วนใหญ่ และมักคบกันเพื่อให้งานบรรลุเป้าหมายทางกิจการงานธุรกิจเป็นสำคัญ, เพื่อนเก่าสมัยเรียนยังเหลือติดต่อกันอยู่ไม่กี่คนและมีแนวโน้มค่อยๆลดลง


ทั้งนี้เนื่องมาจากสภาพทางสังคมที่ผลักดันให้ต้องดิ้นรนแข่งขันกัน เน้นไปทางวัตถุนิยม จนลืมนึกถึงเรื่องของความสุขทางใจ และสายสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกัน เพื่อเติมเต็มในส่วนที่ขาด เทคโนโลยีการสื่อสารต่างๆ ที่สามารถตอบสนองในการให้คนได้สื่อสารกันง่ายขึ้นจึงเป็นเรื่องสำคัญ จึงทำให้โทรศัพท์มือถืออาจกลายเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในยุคปัจจุบันไปแล้ว (ในประเทศไทยแทบจะมีทุกคนทุกอาชีพ) และอาจเสริมด้วยอีเมลล์ (E-mail) ในการติดต่อสื่อสารที่ต้องการลายลักษณ์อักษร บันทึกย่อ หรือส่งไฟล์เอกสาร ไฟล์ภาพ ให้กันแทนการส่งจดหมายทางไปรษณีย์

เพราะฉะนั้น Social Network จึงเข้ามามีบทบาทมากในสังคมไทย ซึ่งก็มีทั้งประโยชน์และโทษค่ะ




"ดีมากครับนักเรียน วันนี้เลิกเรียนได้ เจอกันคาบหน้านะ"
"นักเรียน ทำความเคารพ"
"ขอบคุณครับ/ค่ะ"










Credit.......

http://kanitthamsu.blogspot.com/2012/09/social-network.html
http://www.microbrand.co/social-network-%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3-%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%A3/

http://smartblogs.com/education/2014/03/25/social-media-gives-professional-development-a-long-tail/

http://trendingdig.com/guides-to-monitize-your-social-media/social-network-people-monitiz/

http://mytjcnews.com/news/are-you-addicted/



วันอังคารที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2558

Extreme Sports

ใครชอบเล่นอะไรที่มันตื่นเต้น ผาดโผน เร่งการหลั่งของเอ็นโดรฟินบ้าง!
ถ้าใครชอบขอแนะนำให้รู้จักกับ "กีฬาผาดโผน" หรือ "Extreme Sports" 
Extreme Sports คืออะไร?
Ans คือกีฬาที่มีความท้าทาย เสี่ยงอันตราย ตื่นเต้น โลดโผน และเป็นที่ชื่นชอบของวัยรุ่น 
Extreme Sports มีอะไรบ้าง?
Ans กีฬาเอ็กซ์ตรีมมีหลายชนิดทั้งที่เล่นบนบก ในน้ำ บนอากาศ จะขอยกตัวอย่างแค่ไม่กี่ชนิดนะค้าบ

Skateboarding   
    สเกตบอร์ด เป็นกีฬาประเภทเอ็กซ์เกมประเภทหนึ่ง ในช่วงทศวรรษที่ 80 กีฬาสเกตบอร์ดได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย การแข่งขันสเกตบอร์ดแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ เวิร์ต (Vert) เป็นการเล่นตามแลมป์ใหญ่ๆ และอีกประเภทคือแบบผาดโผน จะเป็นแนวสตรีต คือแสดงโชว์ท่าทางกระโดดข้ามและผ่านสิ่งกีดขวาง ในขณะเดียวกัน ยังต้องแสดงท่าทางต่างๆ เช่น ท่า five-o-grinds, ท่า 360's, ท่า fifty-fifty และอีกหลายท่าเพื่อให้เข้าตากรรมการ


Zorbing Ball
    ลองจินตนาการภาพของตัวท่านเองอยู่ในลูกบอลขนาดยักษ์ ที่กำลังกลิ้งลงมาจากเนินเขาลาดชัน จากที่สูงลงสู่ที่ต่ำด้วยความเร็ว ลืมเรื่องอุปกรณ์เบรกไปได้เลย ปล่อยให้แรงโน้มถ่วงพาท่านไป ซอร์บอล หรือ วอลเตอร์บอล ซึ่งเป็นกีฬาที่ถูกคิดค้นขึ้นมาตั้งแต่ปี 2000 จากประเทศเนเธอร์แลนด์ ความสนุกของกีฬานี้จะอยู่ที่เราได้ทดสอบฝีมือ ทักษะการทรงตัว การควบคุมทิศทางของลูกบอล ขณะที่มันกำลังไหลลงมาจากเนิน ส่วนผลที่ตามมาหลังจากเล่นเสร็จก็ต้องไปสัมผัสกันเองว่าจะเวียนหัวและมึนกันแค่ไหน


Free running
    ตอนนี้กีฬาผาดโผนที่กำลังเป็นที่สนใจในหมู่มวลวัยรุ่นพลังเหลือคือ ฟรีรันนิ่งฟังก์ชันหนึ่งในกีฬาเอ็กซ์ตรีม เป็นการเคลื่อนไหวแบบผาดโผน กระโจนไปมาตามตึกหรืออาคารแบบตัวเปล่าไม่มีอุปกรณ์ช่วย ผู้เล่นต้องได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี และต้องเตรียมร่างกายให้พร้อมกับการใช้งานแบบสุดขีด ไม่งั้นอาจมีโอกาสบาดเจ็บทั้งภายนอกและภายในได้ ฟรีรันนิ่งมีอีกชื่อว่า ยามากาซิ” (Yamakasi)เหมือนเป็นภาษาญี่ปุ่น แต่ความจริงเป็นภาษาแอฟริกา แปลว่ายอดมนุษย์ มาจากชื่อชมรมยามากาซิ เป็นชมรมฟรีรันนิ่งที่ได้รับความนิยมมากในอินเทอร์เน็ต จึงมีการเรียกกีฬาฟรีรันนิ่งด้วยชื่อนี้ตามไปด้วย




Flyboard
    กีฬาทางน้ำชนิดใหม่ที่ท้าทายหนุ่มๆ ให้ได้ไปลองเล่นกัน ฟลายบอร์ดเป็นการนำจุดเด่นของเจ็ทสกีและเจ็ทแพคมารวมกัน โดยใช้แรงดันน้ำดันตัวผู้เล่นทะยานขึ้นสูงเหนือน้ำ ซึ่งเกิดมาจากแนวคิดและการประดิษฐ์ของหนุ่มฝรั่งเศสนาม Frank Zapata มีลักษณะเป็นแท่นยืนมีบอร์ดและสายรัดเท้า ยึดติดกับสายยางที่เรียกว่า Kevlar ใช้แรงดันน้ำที่สามารถส่งเราขึ้นเหนือน้ำและลงใต้น้ำได้ถึง 10 เมตร



Kite surf
    เป็นการเล่นกีฬาทางน้ำที่จะได้เหินเวหาไปพร้อมๆ กัน สำหรับไคท์เซิร์ฟ ซึ่งจะแบ่งออกเป็น 3 ประเภท มีแบบ Racing , Wave และ Freestyle แต่ละประเภทจะมีความแตกต่างอยู่ที่บอร์ดที่ใช้เล่น ไคท์เซิร์ฟเป็นการเล่นกีฬาที่ต้องใช้ลมเป็นตัวกำหนด เพราะต้องใช้ว่าวในการเคลื่อนที่ ช่วงที่ควรไปเล่น kite surf คือช่วงมกราถึงพฤษภาคม


Flowrider
    ดูไปดูมากีฬาชนิดนี้ก็เหมือนเซิร์ฟบอร์ด แต่จริงๆ แล้ววิธีการเล่นแตกต่างกัน จะใช้วิธีการคอนโทรลบาลานซ์แบบเวคบอร์ดและสโนว์บอร์ด เป็นการเพิ่มทักษะของตัวเองได้เป็นอย่างดี โฟลว์ไรเดอร์จะไม่มีตัวแปรเรื่องสภาพแวดล้อมอย่างเซิร์ฟบอร์ด เพราะคลื่นน้ำที่ถูกปล่อยออกมามันมีความเสถียรเท่ากัน แบบนี้เล่นเก่งไม่เก่งก็อ้างเรื่องของทะเลไม่ได้แล้วล่ะ



Wingsuit Flying
    เป็นกีฬาที่ต้องอาศัยความกล้ามาก คุณอาจต้องยืนทำใจอยู่นานที่หน้าผาหรือขอบประตูเครื่องบินที่ความสูงกว่าพันฟุต ก่อนจะพุ่งตัวพร้อมชุดที่มีปีก ใช้ทั้งแขนและขาบังคับร่างกายให้ร่อนไปกลางอากาศราวกับกระรอกบิน



Bungee Jumping
    กีฬาซึ่งท้าทายแรงโน้มถ่วงของโลกและได้รับความนิยมมากที่สุดชนิดหนึ่ง โดยเฉพาะในออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และยุโรป ด้วยความรู้สึกเอ็กซ์ตรีมสุด ๆ ขณะที่ตัวพุ่งต่ำลงเรื่อย ๆ และกระตุกกลับขึ้นมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในบางครั้งคุณอาจได้สัมผัสความเย็นของน้ำในลำธารซึ่งอยู่เบื้องล่างหุบเขาด้วย



Skydiving
การดิ่งพสุธาคือกีฬา Extreme ที่เราคุ้นเคยกันอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการดิ่งแบบฉายเดี่ยวหรือการดิ่งเป็นหมู่คณะเพื่อสร้างสถิติโลก โดยในแต่ละปีมีผู้กล้าออกไปทดสอบแรงโน้มถ่วงกันที่ความสูงกว่า 1 หมื่นฟุตเป็นจำนวนมาก


กีฬาเอ็กซ์ตรีมยังมีอีกหลายชนิด ถ้าใครสนใจลองหาข้อมูลเพิ่มเติมดูนะ

สุดท้ายมีคลิปเกี่ยวกับกีฬาเอ็กซ์ตรีมมันส์ๆมาให้ดูกัน







Credit...
http://www.manager.co.th/Marsmag/ViewNews.aspx?NewsID=9560000049312
http://www.lexussociety.com/scoop/sports/308/
http://www.unlockmen.com/6-water-sport-extreme/
http://imgbuddy.com/flyboard-hoverboard.asp
http://snowbrains.com/base-jumper-dies-training-championship-competition-china/
http://pinoria.com/10-terrifying-bungee-jumps/
http://www.travelamalfi.com/tours/1764-1764?lang=en









วันพุธที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2558

เทคโนโลยีกับชีวิตประจำวัน

คนยุโรปในสมัยก่อนมีความเชื่อว่า "โลกแบน" ด้วยเหตุที่ว่าผู้คนสมัยนั้นไม่เคยเดินทางไกลๆมาก่อน จนความเชื่อนี้ถูกลบล้างโดย"เฟอร์ดินานด์ แมกเจลแลน " ที่เดินทางรอบโลกโดยเรือสำเร็จเป็นครั้งแรกตามแบบโคลัมบัส

รูปจำลองเรือที่ เฟอร์ดินานด์ แมกเจลแลน 
ใช้ในการเดินเรือรอบโลกเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์


ในสมัยก่อนนั้นการเดินทางทางอากาศเป็นเสมือนเรื่องเพ้อฝันที่มีอยู่แต่ในจินตนาการเท่านั้น ไม่มีใครคิดว่ามนุษย์เราจะสามารถลอยอยู่บนอากาศข้ามทวีปทั้งทวีปได้ จนกระทั้งพี่น้องตระกูลไรท์(ออร์วิลล์ ไรท์ (Orville Wright) และ วิลเบอร์ ไรท์ (Wilbur Wright))สามารถสร้างเครื่องบินได้สำเร็จ ทำให้พวกเขากลายที่รู้จักในฐานะผู้ที่สร้างเครื่องบินได้เป็นคนแรก




"โลกคือศูนย์กลางของจักรวาล วัตถุท้องฟ้าทุกอย่างโคจรรอบโลกความเชื่อนี้ของอริสโตเติล ถูกการค้นพบของ กาลิเลโอ ลบล้างไปแม้จะเป็นการลบล้างหลังจากที่กาลิเลโอได้เสียชีวิตไปกว่าสามร้อยปีแล้วก็ตาม ด้วยการนำกล้องส่องทางไกลซึ่งประดิษฐ์คิดค้นโดยชาวฮอลแลนด์ มาประยุกต์สร้างขึ้นเป็นกล้องโทรทรรศน์ชนิดหักเหแสงเพื่อใช้ส่องดูวัตถุท้องฟ้า ซึ่งทำให้กาลิเลโอค้นพบความจริงของจักรวาลมากมาย







     เรื่องที่กล่าวมาข้างต้นนั้น ทั้งการเดินเรือ การสร้างเครื่องบิน หรือการประดิษฐ์กล้องโทรทรรศน์ ล้วนแล้วแต่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีทั้งนั้น ไม่ว่ามันจะเป็นสิ่งของหรือระบบปฏิบัติการต่างๆก็ตาม โดยสิ่งของที่ถูกสร้างขึ้นมานั้นสามารถอำนวยความสะดวกให้แก่มนุษย์เราได้ ทำให้การเดินทางสะดวกขึ้น เร็วขึ้น การสังเกตสิ่งต่างๆที่อยู่ไกลๆได้ง่ายขึ้น ซึ่งสิ่งของพวกนี้กลายมาเป็นเครื่องอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวันของมนุษย์เรา 
     
     ในปัจจุบัน วันหนึ่งๆเราได้ใช้เทคโนโลยีในแทบทุกสิ่งที่เรากระทำเลยก็ว่าได้ นับตั้งแต่ตื่นนอนยันเข้านอน ยกตัวอย่างการใช้เทคโนโลยีในชีวิตประจำวันของผู้โพสต์ตั้งแต่ตื่นยันนอน

    ตื่นเช้ามาก็อาบน้ำล้างหน้าแปรงฟัน(อุปกรณ์เหล่านั้นก็เป็นเทคโนโลยีเพราะได้อำนวยความสะดวกให้เรา)
    อาบน้ำเสร็จก็แต่งตัว นั่งมอเตอร์ไซค์ไปโรงเรียน(มอเตอร์ไซค์ก็เป็นเทคโนโลยี)
    ถึงโรงเรียนก็ขึ้นห้องเรียนไปเก็บกระเป๋าโดยห้องเรียนอยู่ชั้น 9 เลยขึ้นลิฟต์ไป(ลิฟต์ก็เป็นเทคโนโลยี)
    ตอนเรียนอาจารย์ก็ใช้สื่อการสอนในการสอนนักเรียนทั้งโปรเจคเตอร์ ไวท์บอร์ด หรือ โมเดลจำลองต่างๆ(สิ่งของพวกนี้ก็เป็นเทคโนโลยี)
    ตอนพักกลางวันก็ไปซื้อข้าวที่โรงอาหารมาทาน(จาน ช้อน ส้อม ก็เป็นเทคโยโลยี)
    พอกลับมาถึงบ้านก็ทำการบ้าน อาบน้ำ เล่นคอมฯ(คอมฯก็เป็นเทคโนโลยี)
    ได้เวลานอนก็เปิดแอร์ เปิดพัดลม ปิดไฟแล้วนอน(แอร์ ไฟ พัดลม ก็เป็นเทคโนโลยี)

     จะเห็นได้ว่าในวันหนึ่งๆของเรานั้น เราใช้เทคโนโลยีบ่อยแค่ไหนแทบจะทุกลมหายใจเลยก็ว่าได้ นั้นทำให้เทคโนโลยีจำเป็นสำหรับชีวิตประจำวันของเราไม่มากก็น้อย... 






อ้างอิงจาก:
http://www.trueplookpanya.com/new/asktrueplookpanya/questiondetail/2435
http://didyouknow.org/thai/sailthai.htm
http://www.trueplookpanya.com/new/clipded/index/525
http://siweb.dss.go.th/Scientist/scientist/wright%20brother.html
http://www.lesa.biz/astronomy/cosmos/galileo
http://makezine.com/2009/02/15/maker-birthdays-galileo-galilei/